

ย้อนรอยตำนาน หมัดธนูมือ หลวงปู่ภู เกจิกล้าแกร่งพลังเวทย์
พระเถราจารย์ยุคเก่าผู้มีตบะบารมีอันแก่กล้า ศิษย์ในสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
สมัยที่หลวงปู่ภู ยังแข็งแรงดี ท่านจะถือธุดงค์วัตรมาโดยตลอด ถึงคราวออกพรรษา ท่านจะออกรุกขมูลมิได้ขาด ท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสมอว่าได้ร่วมเดินธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณออกพรรษาท่านจะออกรุกขมูลมได้ขาดท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังเสมอว่าได้ร่วมเดินธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เป็นบางครั้งบางคราว
เดือนมีนาคมของทุกปีจะมีงานประจำปีที่โด่งดังของเมืองกรุง ซึ่งรู้จักกันอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่คนไทยและต่างชาติต่างๆ ที่ได้มาร่วมงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุปิดทองหลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ จัดงานที่วัดแห่งนี้ปีละ 10 วัน 10 คืน
หากมาที่วัด จะเห็น“ พระยืนอุ้มบาตร” องค์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ทำให้นึกถึง “ พระศรีอริยเมตไตรย” หรือ “ หลวงพ่อโต” ซึ่งประดิษฐานเด่นเป็นสง่า อยู่ที่วัดอินทรวิหารซึ่งสมเด็จพระพุฒา จารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง โฆสิตาราม เป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างขึ้น แต่ดำเนินการไปได้เพียงครึ่งองค์ ท่านก็สิ้นชีพิ ตักษัยเสียก่อน ผู้ที่มาสานต่อการก่อสร้างก็คือ “ พระครูธรรมานุกุล” หรือ “ หลวงปู่ภูจันทสโร” เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร พระเกจิอาจารย์เลื่องชื่อองค์ที่เอ่ยนามท่าน หลวงปู่ภู ถือ เป็นศิษย์เอกผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ที่ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาต่างๆ มาบางที่ท่านออกธุดงค์ ก็มีพระภิกษุติดตามด้วย ท่านได้เล่าให้ฟังว่า มีเรื่องแปลกๆ ที่ได้ออกรุกขมูลไปตามป่าเขามากมายหลายเรื่อง สร้างความตื่นเต้นตามเส้นทางที่ได้เดินไป
หลวงปู่ภู เกิดที่หมู่บ้านวังหิน อ. เมือง จ. ตาก ตรงกับปีขาล พ. ศ. 2373 เมื่อท่านอายุ 21 ปี ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดท่าคอย มีพระอาจารย์อัน เป็นพระอุปัชฌาย์พระอาจารย์คำ วัดท่าแค เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มา วัดน้ำหัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า “ จันทสโร”
พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง “ หลวงปู่ภู จันทเกสโร” หลังจาก บวชแล้วท่านได้อยู่จำพรรษาที่สำนักวัดท่าแคระยะหนึ่ง ก่อนออกธุดงค์จาก จ. ตาก มาพร้อมกับหลวงปู่ใหญ่ซึ่งเป็นพระพี่ชาย สมัยที่ท่านธุดงค์มากรุงเทพฯ ครั้งแรกได้มาปักกลดอยู่บริเวณที่ตั้งวังบางขุนพรหม (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ขณะนั้นยังเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าและเปลี่ยวมีแต่ต้นรัง ต้นตาล ขึ้นระเกะระกะไปหมด ท่านได้ปักกลดอยู่ชายแม่น้ำเจ้าพระยา ยังไม่มีบ้านเมืองมากมายเหมือนสมัยปัจจุบัน สภาพแวดล้อมแตกต่างกันราวกับฟ้าดิน พอตกกลางคืนได้นิมิตไปว่า มีคนนำเอาตราแผ่นดินมามอบถวายให้ท่าน 3 ดวง เมื่อตื่นขึ้นมาได้พิจารณาถึงความฝันตามไปพอจะทราบว่า ท่านเองจะมีอายุยืนยาวถึง 103 ปีเศษ
ศิษย์ใกล้ชิดได้เล่า เมื่อท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ ได้ช่วยรักษาคนป่วยเป็นอหิวาตกโรคไว้ 6 คน สมัยนั้นถือว่าเป็นโรคร้ายแรง และส่วนมากจะตายในที่สุดเนื่องจากการอนามัยยังเข้ามาไม่ถึง และยังไม่มียารักษา ก็รักษาไปตามอาการ ในปี พ. ศ. 2416 เป็นปีที่อหิวาตกโรคระบาดหนักจนเป็นที่กล่าวขวัญเรียกกันจนติดปากว่า “ ปีระกาห่าใหญ่” จากเรื่องอหิวาห์ยังติดตามได้ในเรื่องป่าช้าวัดสระเกศที่เล่าขานกันต่อมา
ต่อมา ท่านได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) ตามลำดับ ท่านได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดอินทรวิหาร สมัยนั้นยังใช้ชื่อว่า “ วัดบางขุนพรหมนอก” ปีพ. ศ. 2432
และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อปี พ. ศ. 2435 สมณศักดิ์ที่ได้รับไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับตำแหน่งในปีใด เข้าใจว่าได้รับก่อนปี พ. ศ. 2463 เพราะตามหลักฐานศิลาจารึกเกี่ยวกับการสร้างพระศรีอริยเมตไตรย มี ความตอนหนึ่งว่า….. “ ถึง พ. ศ. 2463 ท่านพระครูธรรมานุกูล (ภู) ผู้ชราภาพ อายุ 91 พรรษา 70 ได้ยกเป็นกิตติมศักดิ์อยู่ในวัดอินทรวิหาร ท่านจึงมอบฉันทะให้พระครูสังฆบริบาลปฏิสังขรณ์ต่อมาจนสำเร็จ”
ท่านได้มรณภาพเมื่อวันเสาร์ที่ 6 พ. ค. 2476 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา เวลา 01. 15 น. สิริอายุได้ 104 พรรษา 83 นับว่าท่านได้ยกเป็นพระครูกิตติมศักดิ์ ตั้งแต่ปี พ. ศ. 2463 จนถึงวันมรณภาพ ก่อนนั้นท่านมีนิมิตก่อนที่จะมาจำพรรษาที่วัดอินทร์แห่งนี้ว่า ท่านจะมีอายุได้ 103 ปี แต่ก็สามารถมีอายุยืนกว่าที่ท่านนิมิตในฝัน ซึ่งอายุการมากและมีวิชาอาคมสมดังคำร่ำลือ
หลวงปู่ภู เป็นพระเถระที่ยึดการธุดงค์เป็นกิจวัตรมาศีลโดยตลอด สมัยที่ยังแข็งแรง พอออกพรรษาท่านจะออกรุกขมูลมิได้ขาด โดยร่วมธุดงค์ไปกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จขอพระพุฒาจารย์ (โตพรหมรังสี) และหลวงปู่ใหญ่ และมักเล่าเรื่องแปลกๆ ที่ได้เผชิญมาให้ลูกศิษย์ฟังอยู่เสมอ อาทิการผจญจระเข้ยักษ์ เสือลายพาดกลอนเลียศีรษะ ผจญงูยักษ์ ยังมีเรื่องเล่าที่แสดงถึงพลานุภาพแห่งการภาวนารักษาศีลอีก
ความมุมานะและอุตสาหะมุ่งมั่นศึกษาวิชาอาคมต่างๆของหลวงปู่ทำด้วยจิตอธิษฐาน จนเกิดความชำนาญเป็นที่เลื่องลือตามยุคสมัยทั้งด้านสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ก็ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด เรียกกันว่า “ นั่งจนก้นด้าน” อีกทั้งยังสำเร็จวิชา 6 ประการ คือ 1. เมฆ 2. กสิณ 3. สันโดษ 4. สมถกรรมฐาน 5. วิปัสสนาธุระ 6. เพ่งกสิณ ปลุกเสกจนน้ำมนต์เดือด
การปฏิบัติวิชาแต่ละวิชาใช้เวลานานวิชาละ 10 ปีกว่าจะสำเร็จคงไม่ธรรมดาสำหรับเรื่องเช่นนี้ในพระที่ใช้วิชาบางองค์ที่สมัยนี้ชอบนำมาอ้างอิงหรือใช้วิชาดีๆ เอามาหลอกลวงผู้คนให้ลุ่มหลงเพียงเพื่ออยากได้เงินทองของผู้มาหาให้เกิดการเลื่อมใสแบบขอไปที ไม่เหมือนหลวงปู่สมัยเก่าแต่ละองค์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะหลวงปู่ภู การเสกน้ำมนต์ให้เดือดใช้เวลาถึง 11 ปี ซึ่งยากและไม่ธรรมดากว่าจะได้แต่ละวิชาที่สะสมพลังจิตอย่างแน่วแน่และมั่นคง รวมเวลาในการศึกษาวิชาอาคมถึง 71 ปีเต็ม ตราบช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จึงไม่เคยปล่อยเวลาให้ว่างเปล่าสูญเสียไปโดยง่าย มุ่งหน้าปฏิบัติ มีพุทธภูมิเป็นที่ตั้ง การร่ำเรียนวิชาอาคมมากเพียงเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บอย่างจริงจัง
การที่ท่านมุ่งมั่นเรียนวิชาดูเมฆ หรือเรียกกันว่า “ วิชาเมฆฉาย” โดยบริกรรมด้วยมนต์คาถาจนเงาของคนเจ็บลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วพิจารณาดูว่าเป็นโรคอะไร?
“ หลวงปู่ภู จันท สโร” ได้ศึกษาวิชากสิณ หมายถึงอารมณ์ที่กำหนดธาตุทั้ง 4 มี ปฐวี อาโปเตโช วาโย อันมีวรรณะ 4 คือ นีล ปีต โลหิต โอทาต อากาศแสงสว่างก็คือ อาโลกากสิณ การบำเพ็ญปฏิบัติของท่านจะเริ่มขึ้นหลังจากฉันจังหันแล้วคือ เวลา 7 โมงเช้า โดยตลอดชีวิตจะฉันเพียงมื้อเดียว (ถือเอกา) ผลไม้ที่ขาดไม่ได้ คือกล้วยน้ำว้า ท่านบอกว่าเป็นโสมเมืองไทย
ทุกวันท่านจะต้องออกบิณฑบาต ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเพราะเจ้าฟ้าสมเด็จกรมพระนครสวรรค์พินิจ ได้จัดอาหารมาถวายทุกวัน เมื่อฉันเช้าแล้ว จะครองผ้าลงโบสถ์และลั่นดาลประตู ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน จากนั้นจะเจริญพระพุทธมนต์ถึง 14 ผูก วันละ 7 เที่ยวแล้วจึงนังวิปัสสนากรรมฐานต่อ จนถึงเที่ยงทุกๆวัน ล่วงถึงตอนชราภาพ ก็มิได้ขาดจากการลงทำวัตร นอกจากอาการหนักจนลุกไม่ได้ ท่านยังเจริญวิปัสสนาโดยการนอนภาวนาซึ่งนับว่าหาได้ยาก
เรื่องราวเกี่ยวกับอภินิหารของท่านมีเล่าขานไว้มากมายหลายเรื่อง อาทิ สามารถหยั่งรู้อดีตและอนาคต ใบ้หวยแม่น ชุบชีวิตคนที่ตายแล้ว ปราบผีเปรต กำหนดวันมรณภาพได้ หายตัวเข้าโบสถ์อีกมากมายที่จะเล่าในภายหน้า
พระเครื่องและวัตถุมงคลที่หลวงปู่ภูได้สร้าง มีหลายแบบด้วยกัน เช่น พระเนื้อผง มีพิมพ์แซยิด แขนหักศอก-แขนกลมใหญ่-พิมพ์แปดชั้น พิมพ์เจ็ดชั้นหูติ่ง พิมพ์ฐานแวมพิมพ์ห้าเหลี่ยมขัดสมาธิเพชร พิมพ์สังกัจจายน์ พิมพ์ไสยาสน์ พิมพ์พระปิดตา เป็นต้น ประเภทเครื่องรางมีตะกรุด ผ้ายันต์ยันต์ธงนกคุ้มกันไฟ และไม้เท้าครู ซึ่งหายากมาก เพราะท่านสร้างน้อย ส่วนมากแจกให้เฉพาะศิษย์ใกล้ชิด รวมถึงเหรียญฉลองอายุ 100 ปี หลังยันต์แถวเดียว พ. ศ. 2473 หรือ “ เหรียญแซยิด” เป็นเหรียญรุ่นเดียวที่สร้างเป็นรูปเหมือนของท่าน นอกจากนี้ ยังมีเหรียญเสมาใหญ่ พระศรีอริยเมตไตรย (หลวงพ่อโต)
ท่านสร้างพระเครื่องตอนมาอยู่วัดอินทรวิหาร โดยจัดสร้างหลังจากสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังฯ และถึงหลวงปู่ใหญ่ (พี่ของท่าน) ได้มรณภาพแล้ว เนื่องจากมีความสำนึกในจิตใจว่า จะไม่ทำอะไรแข่งกับครูบาอาจารย์ บรรดาพระเครื่องและเครื่องรางที่ท่านสร้างขึ้นล้วนมีคุณวิเศษมากมาย หลายท่านที่ได้แขวนองค์พระของหลวงปู่มีแต่เรื่องดีปลอดภัยและแคล้วคลาดทั้งสิ้นมาเล่าสู่กันปากต่อปาก
ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านเป็นที่เสาะแสวงหา โดยเฉพาะ “ พระพิมพ์สมเด็จ” ของหลวงปู่ภู ยุคแรกๆ เนื้อหาจะดูจัดหนึกนุ่มคล้ายเนื้อพระสมเด็จของวัดระฆังโฆสิตารามและส่วนมากจะมีความหนาเป็นพิเศษ ในปีต่อๆ มาท่านก็ได้สร้างพระไปเรื่อยๆ จวบจนท่านมรณภาพ แต่วิชานักรบของไทยหลวงปู่ก็ไม่ด้อยน้อยหน้าใคร เนื่องจากท่านมีพลังจิตที่แก่กล้าอาคมขณะนั่งวิปัสสนา
ส่วนวิชาหมัดธนูที่อยากบอกเล่าของหลวงปู่ภูนี้เรียกว่าเป็นวิชาของนักรบไทย ตั้งแต่สมัยโบราณ นับว่ามีอานุภาพมากไม่ด้อยกว่าวิชาอาคมและการป้องกันตัวอื่นๆ แต่ที่น่าสนใจ หลวงปู่ภู วัดอินทร์ฯ เกจิผู้มีวิชาแก่กล้า ศิษย์สมเด็จโต วัดระฆังองค์นี้ ครั้งตอนที่หลวงปู่ภูกับพระพี่ชายท่านหลวงปู่ใหญ่ มาบูรณะวัดอินทร์ฯนี้ด้วยกัน ความที่ท่านชอบออกธุดงค์ประจำ เมื่อสร้างวัดได้พอเจริญ หลวงปู่ภูก็ปลีกวิเวกออกธุดงค์เช่นเคย ปล่อยให้พระพี่ชายดูแลวัดแต่เพียงผู้เดียว
วัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีพระมาจำพรรษามากมายหลวงปู่ภู ก็ได้แวะมาเยี่ยมหลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ใหญ่จึงชักชวนหลวงปู่ภู ให้มาพักที่วัด จะได้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดด้วยกัน เมื่อหลวงปู่ภูรับคำ หาคิดไม่ว่า จะมีเรื่องกวนใจเข้ามา จนท่านต้องใช้วิชาธนูมือเข้าปกป้องตน
มีพระเจ้าถิ่นอยู่องค์หนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลวงปู่ภู ว่าหลวงปู่ภูตัวใหญ่แล้ว แต่พระองค์นี้ใหญ่กว่าหลวงปู่ภู องค์นี้ท่านก็หมายมั่นปั้นมือ ว่าจะตนเป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงปู่ใหญ่ แต่เมื่อหลวงปู่ภูมาจำพรรษาที่นี่ทำให้รู้สึกเดือดร้อนใจมาก เพราะอายุพรรษาหลวงปู่ภูมากกว่า ซ้ำยังเป็นน้องชายแท้ๆ ของหลวงปู่ใหญ่ จึงเคืองใจ
“ โอมตรีเพ็ชรเทพยดา ให้กรรมสิทธิ์แก่ข้าสวาหะ จะฉะสัพพัง มรณังภะเว”
พระองค์ที่ไม่ชอบหลวงปู่ภูจ้องจะคอยหาเรื่องหลวงปู่ภูตลอดเวลา พูดลอยๆ ก็ออกไปทางแขวะหลวงปู่ภู คอยจ้องหาเรื่อง หลวงปู่ภูขณะนั้นเพิ่งมาอยู่วัด ถึงแม้จะเป็นน้องหลวงปู่ใหญ่ แต่ก็เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ พระลูกวัดส่วนมากก็เป็นพวกพระองค์ดังกล่าว หลวงปู่ภูจึงมีความรู้สึกรำคาญใจ บางครั้งถึงกับจะแบกกลดหนีออกไป แต่ ด้วยกำลังใจ ที่เป็นคนเด็ดเดี่ยว ไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใด จึงอดทนอยู่กับพระพี่ไปก่อนถูกหาเรื่องอย่างไรก็อดทนไป
จนวันที่ความอดทนของท่านต้องขาดลง เมื่อขณะเสร็จจากทำวัตรเช้าในพระอุโบสถ พระองค์นี้ได้มายืนต่อว่าท้าทายท่าน เพราะถือว่าตัวใหญ่กว่าท่าน ไม่มีความเกรงใจและเกรงกลัวหลวงปู่ภู หลวงปู่ภูสุดจะอดกลั้น จึงเดินไปเผชิญหน้ากับพระองค์ที่หาเรื่อง จึงเกิดการต่อสู้ต่อยกันหมัดต่อหมัด
เมื่อถึงระยะประชิดตัว หลวงปู่ภูยกหมัดขึ้นมาแค่เอวง้างต่อยไปที่ท้องพระองค์นั้นเบาๆ พระองค์ที่หาเรื่องหลวงปู่ถึงกับทรุดลงไปชักดิ้นชักงอ น้ำหูน้ำตาไหลออกมาพรั่งพรูของที่ฉันเข้าไปอ้วกกระอักออกมาจนสิ้น ร้อนจนถึงหลวงปู่ใหญ่ต้องมาขอร้องหลวงปู่ภู ให้แก้ไข หลวงปู่ภูจึงยอมถอนพระเวทย์ ออกแต่พระองค์ที่หาเรื่องหลวงปู่ต้องให้พระลูกหาบ หามไปยังกุฏิ หลังจากนั้นพระที่หาเรื่ององค์นั้นจึงเข็ดไม่กล้ายุ่งกับหลวงปู่ภูอีกต่อไป
วิชาอาคมและศาสตร์ที่ดี ย่อมอยู่ในตัวตนคนถือศีลยึดในสัตย์มั่นวาจากระทำแต่สิ่งดี เมื่อไปไหนที่ใด จะไม่เดือดร้อน ถึงเดือดร้อนก็ผ่อนเป็นเบา เพราะกระทำแต่ความดี จึงมีสิ่งดีๆ คุ้มครองตลอดไปอย่างเรื่องของสิ่งดีๆ ที่นำมาเสนอจากเกจิอาจารย์ท่านได้สอน ไว้คอยติดตามเรื่องราวดีๆ มีสาระได้ในคราวต่อไป